Winnie The Pooh Bear

Diary


ข้าวกล้อง




คัดลอกข้อมูลจาก กินต้านโรค โดย พรพรรณ รพี

ข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทย คนไทยกินข้าวทุกวัน วันละหลายมื้อ แต่เรากลับให้ความสนใจในเรื่องข้าวน้อยมาก

          ข้าวที่บริโภคอยู่ทุกวันนี้มีทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว ไม่ว่าจะเป็นข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียว ทุกครัวเรือนก็นิยมข้าวที่ชัดสีจนขาวสะอาด ข้าวที่ขัดสีจนขาวสะอาด สวยใคร ๆ ก็ต้องบอกว่ามันอร่อย นุ่ม น่ากินกว่าข้าวที่ยังไม่ผ่านการขัดสีเป็นไหน ๆ ยิ่งในปัจจุบันเป็นยุคไฮเทค ทุกอย่างเครื่องจักรล้วนเนรมิตได้ จะสีให้ขาวสะอาด ขนาดไหนได้ทั้งนั้น ขอให้บอก

          แต่คนกินจะรู้บ้างไหมว่า ข้าวที่ชัดเจนขาวสวยที่เรากินอยู่ทุกวี่ทุกวันนี้ เป็นข้าวที่ต้องสูญเสียสารอาหารต่าง ๆ มากมาย ทั้งโปรตีน วิตามิน กากใย และเกลือแร่ต่าง ๆ หลายสิบชนิดยิ่งขัดสีกันมากเท่าไร ส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวภายในเปลือกที่มีสีน้ำตาลแดง พร้อมทั้งจมูกข้าว ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารก็จะถูกขัดสีออกมากเท่านั้น เหลือแต่เนื้อในของข้าวที่มีแต่แป้งเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งถ้านำข้าวขาวนี้มาล้างหลาย ๆ ครั้งก่อนการหุงต้มด้วยแล้ว ก็แทบจะไม่มีหลงเหลือวิตามินอยู่เลย

          ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องสนใจกับอาหาร การกิน ที่เราต้องกินกันอยู่ประจำทุกวัน เลิกกินข้าวขาวกันเสียที มากิน ข้าวกล้อง กันได้แล้ว

ข้าวกล้องมีอะไรดี


          ข้าวกล้อง หรือที่เรียกกันว่า ข้าวซ้อมมือ เป็นข้าวที่สีเอาแต่เปลือกออกเท่านั้น เยื่อหุ้มเมล็ดข้าวที่มีสีน้ำตาลแกมแดง และจมูกข้าว ยังคงอยู่ครบ จึงเป็นข้าวที่อุดมไปด้วย คุณค่าทางอาหาร เกลือแร่ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในข้าวกล้อง ประกอบไปด้วย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ทองแดง แมงกานีส และอื่น ๆ 
           :  เหล็กและทองแดง มีส่วนอย่างมากในการทำให้เกิดโรคโลหิตจาง 
          :  แมงกานีส มีผลต่อการทำงานของเอนไซม์ การสร้างฮอร์โมนเพศ และการเจริญเติบโต 

          :  ส่วนแคลเซียมและฟอสฟอรัส ถ้าขาดไปแล้ว จะทำให้กระดูกอ่อนและเปราะหักง่าย 

          :  ฟอสฟอรัส ยังมีส่วนช่วยป้องกันนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
          : โปรตีน  ที่มีอยู่ในข้าวกล้องนั้นมีอยู่ประมาณ 7-12% แล้วแต่พันธุ์ข้าว แต่หลังจากสีข้าวแล้ว มีผู้ศึกษาค้นคว้าพบว่า การขัดสีข้าวกล้องจนขาว จะทำให้โปรตีนสูญเสียไป ประมาณ 30% วิตามินที่มีอยู่มากในข้าวกล้องก็คือ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามินบีรวม ข้าวกล้องมีวิตามินบี 1 มากกว่าข้าวขาวประมาณ 4 เท่า ถ้ากินข้าวกล้องเป็นประจำจะป้องกันโรคเหน็บชา ใครที่เป็นโรคเหน็บชาก็คงไม่สนุกแน่ เพราะจะมีอาหารทั้งอ่อนเพลียเหนื่อยง่าย ปวดแสบ เสียว ชาในขา แขนชาไม่มีแรง 

และถ้ามีอาการร้ายแรงจะมีอาการบวมตามขา หรือตามตัว เดินไม่ได้และหัวใจล้มเหลวได้ 

           : วิตามินบี 2  นั้นในข้าวกล้องมีมากกว่าข้าวขาว 66% ถ้าร่างกายขาดวิตามินบี 2 ก็จะเป็นโรค ปากนกกระจอก ได้คือ ที่ริมฝีปากจะบวมมีแผลที่มุมปาก ร่างกายอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ตาสู้แสงไม่ได้

         : อาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด ก็ล้วนเกิดจากการ ขาดวิตามินบีรวม ลิ้นก็สามารถชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่างในร่างกาย ลิ้นอาจจะเป็นสีชมพูสดใส หรืออาจเป็นสีม่วง หรือออกสีน้ำเงิน หรือด่างเป็นจุดๆ ถ้าลิ้นแตกและมีแผล แสดงให้เห็นว่ากำลังอยู่ในภาวะที่ขาดวิตามินบีรวม 

          ถ้าหากเรากินข้าวกล้องเป็นประจำทุกวัน เราก็จะรอดพ้นจากภาวะดังกล่าวนี้ได้ นอกจากนั้น การได้รับวิตามินบีรวมจากข้าวกล้องเป็นประจำ ยังช่วยบำรุงสมอง นอกจากนี้ เยื่อใยที่หุ้มเมล็ดข้าวยังเป็นตัวช่วยไม่ให้ท้องผูก และป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วย





ผลดีจากการกินข้าวกล้อง

           1.ป้องกันโรคเหน็บชา
           2.ป้องกันโรคปากนกกระจอก

           3.ป้องกันอาการอ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ

           4.ป้องกันไม่ให้ลิ้นแตกเป็นแผล

           5.ป้องกันโรคผิวหนังบางชนิด

           6.ป้องกันโรคเกี่ยวกับประสาทบางชนิด

           7.ป้องกันอาหารเบื่ออาหาร
           8.มีส่วนช่วยป้องกันโลหิตจาง
           9.ช่วยไม่ให้ท้องผูก และเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
           10.ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง
           11.ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว
          ฯลฯ
          หลายคนอาจจะเคยลองกินข้าวกล้อง แล้วต้องเปลี่ยนใจกลับไปกินข้าวขาวใหม่ เนื่องจากไม่เคยชินกับความแข็งกระด้างของข้าวกล้องได้ นั่นเป็นเพราะเราไม่รู้จักการหุงต้มที่ถูกวิธี การหุงข้าวกล้องต้องใส่น้ำมากกว่าหุงข้าวขาว และการเปลี่ยนจากการกินข้าวขาวมาเป็นข้าวกล้องนั้น ครั้งแรกควรผสมข้าวกล้องลงในข้าวขาวเพียง 1 ใน 4 ของข้าวขาว หรือ 1 ใน 3 ของข้าวขาวก่อน หลังจากนั้นสักอาทิตย์ก็ค่อย ๆ เพิ่มเป็นอย่างละครึ่ง ข้าวขาวครึ่งหนึ่งผสมกับข้าวกล้องอีกครึ่งหนึ่ง เมื่อคุ้นกับรสชาติและผิวสัมผัสของมันแล้วจึงค่อย ๆ ลดข้าวขาวลงไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดเหลือแต่ข้าวกล้องเพียงอย่างเดียว เด็ก ๆ ก็จะไม่ค่อยรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ด้วย เพราค่อย ๆ คุ้นเคยกับรสชาติของข้าวกล้องจนติดใจไม่อยากกลับไปกินข้าวขาวอีก

          ปัจจุบันตามศูนย์การค้าต่าง ๆ หรือแม้แต่ตามตลาดใหญ่ ๆ ก็มี การจำหน่ายข้าวกล้องบรรจุเป็นถุง ๆ ขายกันหลายยี่ห้อให้เลือกตามชอบนับว่าเป็นความสะดวกสบายในการซื้อ อีกทั้งราคาก็ยังถูกกว่าข้าวขาวคุณค่าทางอาหารก็มีมากกว่า ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าควรกินข้าวกล้องทุกวัน




กินอย่างไร..ให้สุขภาพดี ?


                อาหารและสุขภาพเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน การเกิดโรคบางชนิดมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการกินอาหารที่ไม่เหมาะสม หลายคนเคยหลงรูป รส หรือความสะดวกรวดเร็วของอาหารที่แฝงไปด้วยพิษภัยอย่างเงียบๆ เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารสำเร็จรูป เบเกอร์รี่ ขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลม ฯลฯ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการกินที่ผิดและตกยุค เพราะคนทั่วโลกต่างให้ความสนใจและหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น จนเกิดกระแสรักสุขภาพและการกินเพื่อสุขภาพตามมา

โดยมีข้อแนะนำ 7 เคล็ดลับการกินเพื่อสุขภาพ ดังนี้ 

1. กินอาหารเช้าเป็นประจำ มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด และควรเป็นมื้อที่มีคุณค่าครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยเติมพลังให้ร่างกายและสมองแล้ว ยังช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเส้นเลือด ช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น
2. เลือกอาหารจากธรรมชาติไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ (มอลต์) ถั่ว ข้าวสาลี (โฮลวีต) เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น อาหารเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และเป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุ วิตามิน โปรตีนที่ปราศจากโคเลสเตอรอลและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีสารแอนติออกซิแดนท์ ใยอาหาร และปัจจัยอื่น ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดโคเลสเตอรอลและความดันโลหิตหรืออาจเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลจากมอลต์ เป็นต้น
3. เพิ่มผักและผลไม้ในมื้ออาหาร และกินเป็นประจำ เพื่อเพิ่มวิตามิน เกลือแร่ และสารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และช่วยนำโคเลสเตอรอลและสารก่อมะเร็งบางชนิดออกจากร่างกาย ทำให้ลดการสะสมของสารก่อมะเร็งบางชนิด และมีกากใยช่วยในการขับถ่ายช่วยให้กระบวนการต่างๆในร่างกายดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ลดขนมขบเคี้ยวและขนมอบที่มีแต่ไขมัน เกลือ น้ำตาล และสารปรุงแต่งอื่นๆ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากอยากกินขนมอาจหันมากินขนมที่มีส่วนผสมของธัญพืช เช่น ขนมปังโฮลวีต คุกกี้หรือแคลกเกอร์ผสมมอลต์ เป็นต้น เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับขนมที่มีประโยชน์น้อย อย่างไรก็ตาม ควรกินในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น
5. กินปลา ไข่ และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาหารเหล่านี้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ช่วยเสริมสร้างร่างกายในผู้เยาว์ และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสลายในผู้สูงวัย เป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อ นอกจากนี้ยังมีโปรตีน เหล่านี้ยกเว้นไข่แดงที่มีไขมันน้อย จึงลดความเสี่ยงโรคอ้วน ไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น
6. ดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแทนน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งมีน้ำตาลสูง การดื่มน้ำผักและผลไม้ หรือเครื่องดื่มมอลต์ก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุกว่า 50 ชนิด เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย อาจใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุ ผู้ป่วยพักฟื้น สตรีมีครรภ์ นักกีฬา นอกจากนี้หากดื่มก่อนนอนจะช่วยให้หลับง่าย เพราะมีสารทริปโตแฟนที่ช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย แต่ต้องชงโดยใช้น้ำตาลให้น้อยที่สุด
7. ดื่มน้ำและนมให้เป็นนิสัย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อช่วยระบบขับถ่ายและมีน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ต่างๆของร่างกาย และควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้วทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน แคลเซียม เป็นต้น ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็กๆ ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ชนิดของนมขึ้นอยู่กับวัย หากเป็นเด็กที่กำลังเจริญเติบโตควรเป็นนมจืดธรรมดา แต่ในผู้สูงอายุควรเป็นนมพร่องมันเนย เพื่อลดโคเลสเตอรอล หรืออาจเลือกนมผสมมอลต์เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้สูงขึ้น

      อย่างไรก็ตาม การกินเพื่อสุขภาพมีหลากหลายวิธี อยู่ที่ว่าใครจะเลือกปฏิบัติแบบไหน  หลักง่ายๆ คือกินอาหาร
ให้ครบ 5 หมู่ ครบทุกมื้อ แต่เลือกชนิดและปริมาณที่เหมาะสม นอกจากนี้ต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย จึงจะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อารมณ์สดใส และห่างไกลจากโรคร้ายต่างๆ



10 ผลไม้เพื่อหน้าสวยเปล่งปลั่ง



ผลไม้บางชนิด ช่วยให้คุณมีผิวสวยได้ดั่งใจนะคะ ถ้ารับประทานเป็นประจำ

          คงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วว่า ถ้าอยากผิวสวย ต้อง "วิตามินซี" แต่วิตามินซีเพื่อผิวสวยจะต้องทานอะไรเข้าไป หรือเพียงแค่ใช้มาสก์ผิว และผลไม้อะไรที่มีวิตามีนซีสูงบ้าง แล้วจริง ๆ วิตามินซีทำไมถึงทำให้ผิวพรรณของเราสวยได้ วันนี้เรามีคำตอบค่ะ. ..


          
             วิตามินซี หรือชื่อเต็มว่า Ascobic Acid เป็นวิตามินที่มนุษย์ไม่สามารถสร้างได้เอง จำเป็นต้องได้รับจากการทานเข้าไป มีหน้าที่หลัก ๆ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งจะป้องกันร่างกายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเกิดจากขบวนการในร่างกาย หรือจากมลพิษ สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ซึ่งจะทำให้เซลล์ต่าง ๆ เสื่อม หรืออาจเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ที่ผิดปกติได้ วิตามินซียังทำหน้าที่เป็นตัวช่วยในขบวนการต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น การสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเนื้อเยื่อเกี่ยวกับผิวหนัง และของเส้นเลือดให้แข็งแรง ไม่เปราะ ยืดหยุ่นได้ดี และยังช่วยลดการทำงานของเอนไซม์ที่ผลิตเม็ดสีผิว ดังนั้นจึงช่วยในการลดริ้วรอย ด่างดำ รอยสิวต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยปรับสีผิวที่คล้ำจากแสงแดดให้ดูกระจ่างใสขึ้น โดยจะต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและมีความต่อเนื่องสม่ำเสมอ
          ซึ่งผลไม้เนี่ยแหล่ะ ที่จะเป็นแหล่งของวิตามินซี ที่สาว ๆ ทุกคนควรจะรับทราบและหมั่นบริโภคเข้าไป เพื่อให้ผิวพรรณของเราเปล่งปลั่ง สวยใส ด้วยธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องพี่งสารเคมีแต่อย่างใด แล้วผลไม้ที่มีวิตามินซี คือชนิดไหนบ้าง .. มาดูกันค่ะ


10 ผลไม้เพื่อหน้าสวยเปล่งปลั่ง (Woman Plus) 

1.      ส้ม


          ส้มอุดมไปด้วยเส้นใยธรรมชาติ วิตามินซี เกลือแร่ และคอลลาเจนสูงทำให้ผิวพรรณมีความยืดหยุ่น และมีน้ำมีนวล เปล่งปลั่ง ชุ่มชื้นขึ้น โดยนวดเปลือกส้มแล้วสับให้ละเอียด จากนั้นนำไปทาบริเวณใบหน้า คอ และไหล่แล้วปิดทับด้วยผ้าบาง ๆ ทิ้งไว้

2. แอปเปิล



          แอปเปิล อุดมไปด้วยเพคตินที่ช่วยทำให้เล็บแข็งแรง ซึ่งจะมีวิตามินซีที่สามารถช่วยให้ผิวพรรณสวย เปล่งปลั่ง และยังเป็นผลไม้ที่ทานแล้วไม่ทำให้อ้วนอีกด้วย โดยนำแอปเปิลไม่ปอกเปลือก 1 ผล น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ นำมาปั่นให้ละเอียดพอกให้ทั่วใบหน้าที่ล้างสะอาดแล้ว ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกทำเป็นประจำ สัปดาห์ละครั้งแอปเปิลจะช่วยดูดซับสิ่งสกปรกที่อุดตันตามรูขุมขนและลดเลือนจุดด่างดำ ส่วนน้ำผึ้งช่วยให้หน้านุ่มเนียนกระจ่างใสขึ้น

3. สตรอว์เบอร์รี


วิตามินซีที่อุดมอยู่ในผลสตรอว์เบอร์รี รวมถึงวิตามินเอ ฟอสฟอรัส แคลเซียม แถมด้วยกรด Ascorbic acid ซึ่งสามารถช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง เพียงรับประทานสตรอว์เบอร์รีสดทุกวัน ก็จะทำให้ผิวพรรณของสาว ๆ ก็จะเรียบเนียนเปล่งปลั่ง ช่วยชะลอความชรา และการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร โดยนำสตรอว์เบอร์รี 3-4 ผล โยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บดสตรอเบอร์รีให้ละเอียด เติมโยเกิร์ต และน้ำผึ้งลงไปเพื่อให้เป็นส่วนผสมข้น ๆ ทาลงบนใบหน้าและลำคอที่ทำความสะอาดแล้ว ยกเว้นรอบบริเวณดวงตาทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด โยเกิร์ตจะช่วยสร้างความสมดุลให้ผิวในขณะที่สตรอเบอร์รีช่วยทำความสะอาดและกำจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพทำให้ผิวจะกระจ่างใสและสดชื่น



4. สับปะรด



อุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์ อันได้แก่ วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีสที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์ผิวหนัง กินบ่อย ๆ จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ดีอีกด้วย โดยผสมน้ำสับปะรด น้ำผึ้ง น้ำสะอาดคนให้เข้ากัน พอกให้ทั่วบริเวณใบหน้ายกเว้นบริเวณปากและดวงตาทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาทีแล้วล้างออก สับปะรดช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว ทำให้ผิวเปล่งปลั่ง กระจ่างใส และลดการอักเสบของผิวได้สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีวิตามิน A วิตามิน C สูงช่วยต้านอนุมูลอิสระและมีเกลือแร่อีกหลายชนิดช่วยทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น


5. ทับทิม


        ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานที่อัดแน่นไปด้วยวิตามินเอ ซี อีสูง ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นด้านการเสริมสร้างผิวสวย กระจ่างใส ทั้งยังช่วยการทำงานของหัวใจได้เป็นอย่างดี ใครอยากมีผิวขาวสวย หัวใจแข็งแรง แนะนำให้ลองดื่มน้ำทับทิมวันละ 1 แก้วรับรองผิวพรรณสวยขึ้นแน่นอน หรืออาจใช้มาสก์สำเร็จที่สกัดมาจากทับทิมก็ได้ค่ะ

6. มะเขือเทศ


          จะช่วยชะลอวัยให้อ่อนเยาว์ และยังช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์ผิวได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะทานเล่น ๆ หรือปั่นเป็นน้ำผล ไม้ทานก็ดีต่อสุขภาพผิวเช่นกัน หรือมาสก์ โดยการผสมน้ำมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาวสด 2-4 หยด แล้วใช้สำลีชุบน้ำมะเขือเทศกับมะนาวที่ผสมไว้บนผิวบริเวณที่ต้องการ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วใช้น้ำอุ่นเกือบเย็นล้างออกเพื่อทำให้รูขุมขนหดตัวลงและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น

7. มะนาว


          เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ซึ่งวิตามินซีที่ว่านี้ก็จะช่วยให้สาว ๆ นั้นมีผิวพรรณที่นุ่มเนียนสดใส และเปล่งปลั่งด้วย โดยผสมน้ำมะนาวครึ่งลูกและดินสอพอง 4-5 เม็ด นำดินสอพองและมะนาวมาผสมให้เข้ากัน จะได้ครีมที่เหนียวข้น พอกทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 นาทีก่อนเข้านอน และล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำสัปดาห์ละประมาณ 3 – 4 ครั้ง จะทำให้หน้าใสมากขึ้น หรือผสมน้ำมะนาว 1 ช้อนชา และน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ นำส่วนผสมมาคนให้เข้ากัน ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำแค่อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ก็จะทำให้ใบหน้าอ่อนวัย ใส่เปล่งปลั่งค่ะ

8. ฝรั่ง


       มีวิตามินซีมาก รวมถึงมีวิตามินเอและโพแทสเซียมในปริมาณสูง ช่วยขับสารพิษจนทำให้ผิวมีสุขภาพดีไร้ริ้วรอยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย โดยนำเนื้อฝรั่งมาบดให้ละเอียด แล้วพอกหน้า จะช่วยป้องกันผิวเหี่ยวย่น วิธีแก้จุดสัมผัสที่หยาบกร้าน ถ้าคุณมีผิวที่กร้านจากการสัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ตลอดเวลาทำให้ผิวหนังแห้งสากได้

9. แตงโม


          มีทั้งแร่ธาตุและวิตามินหลากหลายชนิดที่มีอยู่มากมาย ช่วยบำรุงผิวพรรณของสาว ๆ ช่วงล้างไต และของเสียขับปัสสาวะในร่างกาย สามารถมาสก์ได้ โดยนำแตงโมมาฝานให้เป็นชิ้นบาง ๆ จากส่วนที่แดงที่สุด จากนั้นให้นำชิ้นแตงโมเหล่านั้นมาแปะให้ทั่วใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

10. อะโวคาโด



        เพราะในผลไม้ชนิดนี้มีวิตามิน เอ ซี อี ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ และสารแอนตี้ออกซิเดนท์อย่าง วิตามิน B1 B2 B6 โดยนำอะโวคาโดสดครึ่งลูกผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา แล้วมาสก์หน้าทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำธรรมดา จะทำให้ผิวหน้ากระชับตึง เฟิร์มขึ้นค่ะ

 เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับผลไม้ 10 ชนิด ที่อุดมไปด้วยวิตามินที่มีคุณสมบัติให้ผิวพรรณของเรานั้นขาวใส เปล่งปลั่ง แลดูอ่อนกว่าวัย ซึ่งการรับคุณค่าของวิตามินซีจากผลไม้เหล่านี้ ได้ทั้งทานเข้าไปและใช้มาสก์หน้าตามสูตรข้างต้น อย่างนี้สาว ๆ ก็หมั่นบำรุงผิวหน้าตัวเองนะคะ รับรองว่าใครเจอจะต้องทัก 
ว่าอายุ 20 แน่นอน ^^



เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น